บีเอ็มดับเบิลยู X3 M50 xDrive และ X3 20d xDrive M Sport Pro
ราคา: รอการประกาศอย่างเป็นทางการ
บีเอ็มดับเบิลยู X3 กลับมาอีกครั้งในเจนเนอเรชันที่ 4 เพื่อสานต่อความสำเร็จในฐานะรถยนต์อเนกประสงค์มากความสามารถที่ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูในประเทศไทยต่างไว้วางใจ โดยในรุ่นล่าสุดนี้ มาพร้อมกับดีไซน์ที่ให้อารมณ์สปอร์ตยิ่งขึ้นและสง่างามกว่าเดิม พร้อมเสริมทั้งประสิทธิภาพและความคล่องตัวให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ลูกค้าในไทยยังจะได้สัมผัสกับ X3 ที่มีประสิทธิภาพระดับ M Performance เป็นครั้งแรก กับการเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู X3 M50 xDrive
บีเอ็มดับเบิลยู X3 ใหม่ มีรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นยิ่งขึ้น ด้วยองค์ประกอบต่างๆ ที่ดูกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียว พร้อมลดทอนดีไซน์บางส่วนให้สะอาดตาและโฉบเฉี่ยวที่สุด ภายใต้รูปทรงและสัดส่วนที่เป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ในตระกูล X ทุกรุ่น ด้วยความยาวที่เพิ่มขึ้น 34 มิลลิเมตรและความกว้างที่เพิ่มขึ้น 29 มิลลิเมตรจากรุ่นก่อนหน้า บีเอ็ม ดับเบิลยู X3 ใหม่ ได้นำขนาดของตัวถังที่ใหญ่ขึ้นมาผสานกับความสูงที่ลดลง 25 มิลลิเมตรและระยะล้อที่กว้างขึ้น จึงทำให้ตัวรถดูทรงพลังและสปอร์ตยิ่งกว่าเดิม
ส่วนหน้ารถมาพร้อมกับกระจังหน้าขนาดใหญ่ที่เป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู แต่ปรับโฉมด้วยรูปลักษณ์แบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นซี่กระจังหน้าที่จัดวางในแนวตั้งและทแยงมุม พร้อมไฟ BMW Iconic Glow ที่กรอบกระจังหน้าในทั้งสองรุ่น ขณะที่ไฟขับขี่กลางวัน ไฟด้านข้าง และไฟเลี้ยว ล้วนติดตั้งอยู่ในชุดไฟหน้า LED โดยจัดเรียงมิติซ้อนกันเป็นรูปตัว L ส่วนไฟหน้าดวงหลักแบบ Adaptive LED ใช้ระบบไฟสูงแบบ matrix high beam เพื่อลดการรบกวนสายตาผู้ขับขี่คนอื่น พร้อมด้วยฟังก์ชันปรับองศาขณะเข้าโค้ง ตกแต่งด้วยรายละเอียดในสีฟ้า พร้อมชุดแต่ง M Lights Shadowline
ทรวดทรงด้านข้างของบีเอ็มดับเบิลยู X3 ใหม่ โดดเด่นด้วยสเกิร์ตและแนวหลังคาที่ทอดยาวไปด้านท้ายรถ ซุ้มล้อหลังขนาดใหญ่ส่งให้ช่วงท้ายรถดูกว้างขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่กระจกหลังถูกล้อมกรอบด้วยสปอยเลอร์บนหลังคาและที่บังลมด้านข้าง บีเอ็มดับเบิลยู X3 20d xDrive M Sport Pro ใหม่ ซ่อนปลายท่อไอเสียไว้ในกันชนท้าย มาพร้อมล้ออัลลอย M ขนาด 20 นิ้วในดีไซน์ Double spoke แบบสลับสี ส่วน บีเอ็มดับเบิลยู X3 M50 xDrive ขับเน้นความสปอร์ตอย่างเต็มพิกัดด้วยชุดท่อไอเสียคู่ทั้งด้านซ้ายและขวา พร้อมล้ออัลลอย M ขนาด 21 นิ้ว ลาย Star spoke แบบสลับสี
ภายในห้องโดยสาร บีเอ็มดับเบิลยู X3 ใหม่ ผสานความสารพัดประโยชน์ในแบบ SAV ตัวจริง เข้ากับความกว้างขวางโอ่อ่า และบรรยากาศสุดพรีเมียม โดยในส่วนของที่นั่งคนขับยังคงเน้นผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลางด้วยองค์ประกอบครบครัน ทั้งจอโค้ง BMW Curved Display ระบบควบคุมมัลติฟังก์ชัน BMW Interaction Bar พวงมาลัยแบบตัดขอบล่าง และ
คันเกียร์ที่มาในดีไซน์ใหม่ ส่วนไฟในห้องโดยสารก็ได้รับการออกแบบมาในโทนสีที่ตัดกันอย่างลงตัวบนพื้นผิวคอนโซลหน้ารถและบานประตู โดยจัดวางเป็นกรอบรอบปุ่มควบคุมฟังก์ชันต่าง ๆ ช่องแอร์ และมือจับประตู ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระก็กว้างขวางสมกับความอเนกประสงค์ของตระกูล X3 ด้วยความจุสัมภาระสูงสุด 1,700 ลิตร เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าถึง 570 ลิตร ผู้ขับขี่และผู้โดยสารจะได้สัมผัสความสะดวกสบายที่เหนือกว่า ด้วยเบาะนั่งสไตล์สปอร์ตที่ปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า และหุ้มด้วยวัสดุ Veganza ในรุ่น X3 20d xDrive M Sport Pro ส่วนรุ่นใหญ่อย่าง X3 M50 xDrive ถือเป็นครั้งแรกที่นำหนัง BMW Individual leather Merino มาใช้กับเบาะในรุ่น X3 เช่นเดียวกับแผงควบคุมด้านหน้าในชุดแต่ง Luxury ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในรุ่นนี้ด้วยพื้นผิวแบบถักจากวัสดุรีไซเคิลในลุคสุดเรียบหรู
บีเอ็มดับเบิลยู X3 20d xDrive M Sport Pro ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 145 กิโลวัตต์ / 197 แรงม้า และมอบอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. แบบทันใจในเวลา 7.7 วินาที ส่วนตัวแรง X3 M50 xDrive ซึ่งเป็น X3 ที่มีสมรรถนะ M Performance เป็นรุ่นแรกในตลาดไทย จะยกระดับความตื่นเต้นทั้งบนท้องถนนและเส้นทางออฟโรดไปอีกขั้นด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบ เทคโนโลยี TwinPower Turbo ความจุ 3.0 ลิตร ส่งกำลังสูงสุด 293 กิโลวัตต์ / 398 แรงม้า สู่ล้อทั้งสี่ผ่านเกียร์อัตโนมัติ Steptronic Sport 8 จังหวะ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ BMW xDrive ทั้งหมดนี้ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู X3 M50 xDrive ใหม่ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง4.6 วินาที นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู X3 ใหม่ ทั้งสองรุ่น ยังพร้อมเติมความแรง ให้การตอบสนองที่ฉับไวยิ่งกว่าเมื่อกดคันเร่งด้วยระบบ Sport Boost โดยทั้งสองรุ่นนำระบบ mild hybrid 48V มาทำงานคู่กับเครื่องยนต์หลักเพื่อให้ส่งกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและประหยัดน้ำมันมากขึ้นไปพร้อมกัน
บีเอ็มดับเบิลยู X3 ใหม่ ยกระดับทั้งความคล่องตัว เสถียรภาพขณะเข้าโค้ง และความสะดวกสบายในการเดินทางไกล ด้วยตัวถังที่แข็งแกร่งกว่ารุ่นก่อนหน้า ฐานล้อหลังที่กว้างขึ้น และการปรับแต่งทุกส่วนประกอบและระบบควบคุมอย่างละเอียด โดยบีเอ็มดับเบิลยู X3 M50 xDrive เสริมความคล่องตัวด้วยช่วงล่างแบบ M Sport พวงมาลัยสปอร์ต และเบรก M Sport ส่วนในด้านระบบช่วยการขับขี่ บีเอ็มดับเบิลยู X3 ใหม่มาพร้อมระบบเตือนการชนด้านหน้า ระบบเตือนการออกนอกเลน และระบบแสดงความเร็วจำกัดเป็นมาตรฐาน มาพร้อม Driving Assistant Plus ซึ่งเพิ่มทั้งระบบเตือนการเปลี่ยนเลนและระบบช่วยจำกัดความเร็วสำหรับรุ่น X3 20d xDrive M Sport Pro และ Driving Assistant Professional ใน X3 M50 xDrive ที่เพิ่มความสะดวกไปอีกขั้น และเมื่อถึงเวลาต้องถอยจอด X3 ทั้งสองรุ่นก็มาพร้อมกับระบบ Parking Assistant Plus ที่ประกอบด้วยระบบช่วยถอยจอด Reversing Assistant รวมถึงกล้องมองหลังที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน และสามารถอัพเกรดเป็น Parking Assistant Professional ผ่าน ConnectedDrive Upgrade โดยจะเพิ่มฟังก์ชัน Manoeuvering Assistant และ Remote Control Parking
นอกเหนือจากระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ทั้งหมดนี้ บีเอ็มดับเบิลยู X3 ใหม่ ยังยกระดับความสะดวกสบายและความเพลิดเพลินในการขับขี่ด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 โซน กระจกลดเสียงรบกวน ฟังก์ชัน Comfort Access ระบบเปิดประตูท้ายอัตโนมัติ ระบบพับกระจกมองข้างแบบไฟฟ้า ระบบสัญญาณกันขโมย และระบบ BMW Live Cockpit Professional
บีเอ็มดับเบิลยู X3 20d xDrive ใหม่ พร้อมให้ลูกค้าเป็นเจ้าของได้เร็ว ๆ นี้ โดยมีให้เลือกในสี Alpine White, Black Sapphire Metallic, Brooklyn Grey Metallic และ Tanzanite Blue Metallic ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู X3 M50 xDrive เพิ่มอีกหนึ่งทางเลือกด้วยสีพิเศษเฉพาะรุ่นอย่าง Dune Grey metallic
บีเอ็มดับเบิลยู M5 ใหม่
ราคา: 12,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ BSI Standard)
บีเอ็มดับเบิลยู M5 ใหม่ พร้อมเบรกเซรามิก
ราคา: 13,699,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ BSI Standard)
บีเอ็มดับเบิลยู M5 ใหม่ กลับมาสืบสานตำนานแห่งสมรรถนะ 40 ปีเต็มด้วยรุ่นล่าสุดในเจนเนอเรชั่นที่ 7 ที่นำระบบส่งกำลังแบบไฮบริดมาปรับใช้เป็นครั้งแรกในรถซีดานตัวแรงในตำนานรุ่นนี้
ด้วยขุมพลังเทคโนโลยี M HYBRID ที่พัฒนาขึ้นสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ ดึงสมรรถนะจากเครื่องยนต์ทรงกำลัง V8 ขนาด 4.4 ลิตร เทคโนโลยี M TwinPower Turbo ส่งกำลังได้สูงสุดถึง 430 กิโลวัตต์ / 585 แรงม้า มาจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 145 กิโลวัตต์ / 197 แรงม้า และเกียร์ M Steptronic 8 จังหวะ ผลลัพธ์ที่ออกมาคือพละกำลังมหาศาล รวมกว่า 535 กิโลวัตต์ / 727 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1,000 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 3.5 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ถูกจำกัดไว้ที่ 305 กิโลเมตรต่อชั่วโมงพร้อม M Driver’s Package (สามารถปลดล็อกความเร็วสูงสุดได้ที่ศูนย์บริการบีเอ็มดับเบิลยู หลังจากขับขี่ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 2,000 กิโลเมตร) ด้วยเทคโนโลยีแชสซีขั้นสูงที่ปรับแต่งมาให้เข้ากับสมรรถนะของตัวรถโดยเฉพาะ บีเอ็มดับเบิลยู M5 ใหม่ จึงเร็ว แรง และนิ่งกว่าคู่แข่งในเซกเมนต์นี้อย่างชัดเจน พร้อมยกระดับสมรรถนะในแบบ M สู่มิติใหม่
นอกจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่สามารถส่งกำลังได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทำงานผสานกันอย่างชาญฉลาดกับเครื่องยนต์สันดาปแล้ว ระบบส่งกำลัง M HYBRID ยังนำเทคโนโลยีสุดล้ำจากรถแข่งแบบ endurance ของบีเอ็มดับเบิลยูมาปรับใช้เพื่อให้ตัวรถตอบสนองต่อทุกสัมผัสคันเร่งได้ในพริบตา ส่วนระบบท่อไอเสียแบบสปอร์ตก็ผ่านการปรับแต่งมาอย่างประณีตเพื่อมอบเสียงเครื่องยนต์ที่ทรงพลังสมกับสมรรถนะ ทั้งยังสะดุดตาด้วยปลายท่อไอเสียในสี Black Chrome ขนาด 100 มิลลิเมตร
ในโหมดการขับขี่แบบไฟฟ้าล้วน บีเอ็มดับเบิลยู M5 ใหม่ สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และยังมอบเสียงเครื่องยนต์ที่เพลินหูได้ไม่แพ้โหมดขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ ผ่านระบบ BMW IconicSounds Electric ที่ส่งเสียงตอบสนองทุกการควบคุม
พละกำลังมหาศาลจากเครื่องยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยู M5 ใหม่ ถูกส่งลงสู่พื้นถนนผ่านระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M xDrive พร้อมการปรับแต่งให้เน้นส่งกำลังไปที่ล้อหลัง ผู้ขับขี่ยังสามารถเปิดใช้งานโหมด 2WD เพื่อส่งกำลังไปที่ล้อหลังเท่านั้น พร้อมปิดระบบ DSC (Dynamic Stability Control) เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่ฉับไวและเร้าใจที่สุด นอกจากนี้ พวงมาลัยแบบ M Servotronic ระบบบังคับเลี้ยวแบบสี่ล้อ Integral Active Steering และช่วงล่าง Adaptive M ที่ปรับแต่งมาโดยเฉพาะสำหรับสมรรถนะระดับ M ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถกำหนดลักษณะการขับขี่ของบีเอ็มดับเบิลยูM5 ใหม่ ได้ในทุกมิติ และเลือกได้ระหว่างการเสริมความสะดวกสบายหรือสมรรถนะให้เข้ากับความต้องการในแต่ละทริป
นอกเหนือจากสมรรถนะที่น่าทึ่งแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู M5 ใหม่ ยังมีงานออกแบบที่เปี่ยมด้วยความสง่างามในสไตล์สปอร์ตตัวแรง ด้วยซุ้มล้อและสเกิร์ตข้างที่เด่นสะดุดตา ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาแบบ M ขนาด 20 นิ้วที่คู่หน้า และ 21 นิ้วที่คู่หลัง ในดีไซน์ Double spoke สีดำ กันชนหน้าที่มีเส้นสายบึกบึน และโลโก้ “M5” ที่ประทับนูนอยู่บนส่วน Hofmeister kink ส่วนห้องโดยสารได้รับการตกแต่งด้วยองค์ประกอบที่คัดสรรมาสำหรับรถยนต์ตระกูล M โดยเฉพาะ เพื่อเน้นย้ำถึงบุคลิกหลากมิติที่ผสมผสานความหรูและแรงเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
แผงควบคุมบนคอนโซลกลางของบีเอ็มดับเบิลยู M5 ใหม่ ประกอบด้วยปุ่มควบคุมฟังก์ชันเฉพาะรุ่นมากมายที่พร้อมให้ผู้ขับขี่ใช้ปรับแต่งการทำงานของตัวรถในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกโหมดทำงานของเครื่องยนต์ ระบบ Drivelogic ช่วงล่าง พวงมาลัย เบรก หรือระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M xDrive รวมถึงระดับการทำงานของระบบสร้างพลังงานคืนจากเบรก (brake energy regeneration) โดยสามารถเซฟการตั้งค่าเป็นพรีเซ็ตได้สองแบบเพื่อเรียกใช้งานได้ทันทีผ่านปุ่ม M บนพวงมาลัย และขณะเปลี่ยนโหมดการขับขี่จากโหมด ROAD ซึ่งเป็นโหมดมาตรฐาน เป็น SPORT จะทำให้มีการจำกัดการทำงานของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ให้เหลือเฉพาะระบบที่จำเป็น เพื่อรีดเอาความสปอร์ตขั้นสุดออกมา รวมถึงการปรับรูปแบบการแสดงผลบนหน้าจอด้วยเช่นกัน
ปุ่ม M Hybrid ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในรุ่นนี้ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกระหว่างโหมด HYBRID ที่ผสมผสานพละกำลังจากเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างชาญฉลาด เพื่อเสริมทั้งความประหยัดพลังงานและสมรรถนะให้เหมาะสมกับสภาพการขับขี่ และโหมด ELECTRIC ที่จะใช้งานเครื่องยนต์สันดาปเฉพาะเมื่อผู้ขับเหยียบคันเร่งจนสุดหรือใช้แป้นเปลี่ยนเกียร์เท่านั้น ส่วนโหมด eCONTROL เน้นการดึงพลังงานคืนจากระบบเบรก เพื่อรักษาระดับแบตเตอรี่ให้คงที่
เมี่อกดปุ่ม DSC ตัวรถจะเปิดใช้งาน M Dynamic Mode ซึ่งระบบ DSC จะช่วยควบคุมระบบเบรกและลดกำลังเครื่องยนต์ หรืออาจเลือกปิดการทำงาน DSC โดยสมบูรณ์ก็ได้เช่นกัน ขณะที่ระบบ M Drive Professional จะเปิดให้ผู้ขับขี่เลือกโหมด TRACK และใช้งานฟีเจอร์เพิ่มเติมที่เน้นการขับขี่ที่ระดับสมรรถนะสูงสุดอย่าง M Laptimer และ Boost Control
บีเอ็มดับเบิลยู M5 ใหม่ ยกระดับความมั่นใจและความสะดวกสบายในการขับขี่ประจำวันขึ้นไปอีกขั้น ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบช่วยจอดอัตโนมัติที่หลากหลายยิ่งขึ้น พร้อมระบบมาตรฐานที่ครบเครื่องทั้งระบบ Driving Assistance Professional ระบบเตือนการชนด้านหน้า ระบบเตือนการออกนอกเลนที่สามารถพารถกลับเข้าเลนด้วยการช่วยบังคับพวงมาลัย ระบบช่วยหลบหลีกสิ่งกีดขวาง ระบบตรวจจับความตื่นตัวของผู้ขับขี่ และระบบแสดงความเร็วจำกัด เมื่อถึงจุดหมายแล้ว รวมถึงฟังก์ชัน Parking Assistant Professional และ Reversing Assistant ที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่จัดการกับทุกพื้นที่จอดรถได้อย่างง่ายดาย
นอกเหนือจากระบบช่วยเหลือต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว ห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู M5 ใหม่ ยังมาพร้อมพวงมาลัยหนัง M ดีไซน์ใหม่ในรูปทรงตัดขอบล่างพร้อมปุ่ม M แบบมีไฟส่องสว่าง เบาะนั่ง M multifunction และจอแสดงผลโค้ง BMW Curved Display ที่รองรับการแสดงข้อมูลเฉพาะสำหรับรถยนต์ตระกูล M ส่วนระบบควบคุม BMW iDrive เวอร์ชันอัปเกรด เปิดให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถโต้ตอบกับระบบต่าง ๆ ของรถผ่านการสัมผัสและการสั่งด้วยเสียง บรรยากาศภายในห้องโดยสารยังโอ่อ่าและหรูหราด้วยเบาะหนัง Merino ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ระบบควบคุม BMW Interaction Bar ระบบปรับอากาศแบบ 4 โซน และชุดไฟห้องโดยสารที่ออกแบบมาพิเศษสำหรับรถยนต์ตระกูล M ด้านความสะดวกสบายและความบันเทิง บีเอ็มดับเบิลยู M5 ใหม่ยังมาพร้อมระบบเสียง Bowers & Wilkins Surround Sound แท่นชาร์จไร้สาย ระบบ Comfort Access และระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ
บีเอ็มดับเบิลยู M4 CS ใหม่
ราคา: 14,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ BSI Standard)
ไลน์อัพบีเอ็มดับเบิลยู M ในประเทศไทย ยังต้อนรับน้องใหม่ตัวแรงอย่างบีเอ็มดับเบิลยู M4 CS ซึ่งถือเป็นรุ่นพิเศษที่ยกระดับสมรรถนะของบีเอ็มดับเบิลยู M4 คูเป้ ให้ส่งมอบความแรงในระดับรถแข่ง ที่แฝงอยู่ในรถซาลูน 4 ที่นั่ง โดย M4 CS ใหม่ เป็นรุ่นอยู่ระหว่างรุ่น M4 Competition Coupe และ M4 CSL ทั้งยังผ่านการพิสูจน์ความเร็วมาแล้วจากสนาม Nürburgring Nordschleife อันเลื่องชื่อ ด้วยเวลารอบเพียง 7 นาที 21.989 วินาที
เพียงแรกเห็น ทุกคนต้องสัมผัสได้ถึงความสปอร์ตในสไตล์รถแข่งของบีเอ็มดับเบิลยู M4 CS ใหม่ ที่ดูโฉบเฉี่ยวสมกับเครื่องยนต์ 6 สูบเรียงอันทรงพลังที่ซ่อนอยู่ภายใน เครื่องยนต์กำลังสูงขนาด 3.0 ลิตรพร้อมเทคโนโลยีM TwinPower Turbo ในเวอร์ชั่นที่พัฒนาขึ้นสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู M3 และ M4 โดยเฉพาะ และยังเป็นเครื่องยนต์ที่เป็นรากฐานของการพัฒนารถแข่งจากบีเอ็มดับเบิลยู M4 GT3 จึงได้รับเทคโนโลยีสุดล้ำจากบีเอ็มดับเบิลยู M มาอย่างเต็มตัว พร้อมเผชิญกับโจทย์ที่ท้าทายระดับเดียวกับการลงสนามแข่ง ด้วยพละกำลัง 405 กิโลวัตต์ / 551 แรงม้า ซึ่งสูงกว่าในรุ่น M4 Competition Coupe อยู่ 15 กิโลวัตต์ / 20 แรงม้า ด้วยการปรับจูนเฉพาะระบบ M TwinPower Turbo เท่านั้น ส่วนแรงบิดสูงสุดที่ 650 นิวตันเมตร ส่งกำลังได้ต่อเนื่องยิ่งขึ้นที่รอบเครื่องตั้งแต่ 2,750 ไปจนถึง 5,950 รอบต่อนาที
การตอบสนองที่ฉับไวและรอบเครื่องยนต์ที่สูงช่วยให้บีเอ็มดับเบิลยู M4 CS มีอัตราเร่งในระดับแถวหน้า สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 3.4 วินาที และใช้เวลาเพียง 11.1 วินาทีเพื่อเร่งความเร็วจาก 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 302 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แรงบิดมหาศาลจากเครื่องยนต์ตัวนี้ เดินทางสู่ล้อทั้งสี่ผ่านระบบเกียร์ M Steptronic 8 จังหวะ พร้อมเทคโนโลยี Drivelogic ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งการทำงานของเกียร์ให้เข้ากับการขับในวันสบาย ๆ รวมถึงการขับขี่แบบสปอร์ต หรือการออกไปโลดแล่นในสนามแข่ง ขณะที่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M xDrive ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อให้ตัวรถเกาะถนน เคลื่อนตัวได้อย่างคล่องแคล่วและแม่นยำในทุกสถานการณ์ ส่วนการส่งกำลังแบบเน้นไปที่ล้อหลังก็เติมความสนุกในการขับขี่ในสไตล์ M ได้อย่างเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะขณะเร่งความเร็วหรือเข้าโค้ง และแน่นอนว่าเมื่อปรับไปยังโหมด 2WD ผู้ขับขี่สามารถเลือกปิดระบบ DSC โดยสมบูรณ์ และส่งกำลังเครื่องยนต์ทั้งหมดไปยังล้อหลังเพื่อความสนุกแบบเต็มพิกัด
แชสซีของบีเอ็มดับเบิลยู M4 CS ใหม่ ออกแบบและปรับแต่งมาในทุกรายละเอียดเพื่อให้เข้ากับสมรรถนะของเครื่องยนต์ แนวคิดของการผสมผสานรถยนต์นั่งเข้ากับรถแข่ง และการกระจายน้ำหนักของตัวรถ เช่น คานค้ำยันช่วงล่างด้านหน้าที่พัฒนามาให้มีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและทนทานต่อแรงเหวี่ยงของตัวถัง จึงส่งผลให้ตัวรถเข้าโค้งได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ขณะที่ระบบกันสะเทือนในช่วงล่าง Adaptive M ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับแต่งมาสำหรับ M4 CS โดยเฉพาะ เช่นเดียวกับพวงมาลัยไฟฟ้า M Servotronic ที่มีอัตราทดแปรผัน และระบบเบรก ส่วนโหมด M Dynamic มอบทางเลือกให้ผู้ขับขี่ปลดล็อกสมรรถนะสูงสุดของตัวรถ ด้วยการลดระดับการทำงานของระบบ DSC ลง
บีเอ็มดับเบิลยู M4 CS ใหม่ มาพร้อมกับเบรก M Carbon Ceramic เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เข้าชุดกับล้ออัลลอย M น้ำหนักเบาในดีไซน์ Star-spoke และยางสมรรถนะสูงสำหรับสนามแข่ง ส่วนตัวถังมีการเลือกใช้วัสดุและแนวคิดด้านวิศวกรรมที่มุ่งเน้นการลดน้ำหนักของตัวรถลง รวมถึงการใช้วัสดุ CFRP (คาร์บอนไฟเบอร์) ที่หลังคา กระโปรงหน้า สปลิตเตอร์และช่องลมด้านหน้า ฝาครอบกระจกมองข้าง ดิฟฟิวเซอร์และสปอยเลอร์ท้ายรถ ต่างช่วยให้ศูนย์กลางแรงโน้มถ่วงของบีเอ็มดับเบิลยู M4 CS ใหม่ ลดระดับลงใกล้พื้นถนนมากยิ่งขึ้นเพื่อความคล่องตัว ส่วนในห้องโดยสารก็ยังมีการใช้วัสดุ CFRP ในหลายจุด ทั้งบริเวณคอนโซลกลาง แป้นเปลี่ยนเกียร์ องค์ประกอบตกแต่งพื้นผิวภายในต่าง ๆ หรือแม้แต่โครงสร้างของเบาะนั่งแบบ M Carbon โดยทั้งหมดนี้ช่วยให้บีเอ็มดับเบิลยู M4 CS ใหม่ มีน้ำหนักน้อยกว่าเพื่อนร่วมรุ่นอย่างบีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition Coupe M xDrive ราว 15 กิโลกรัม
บีเอ็มดับเบิลยู M4 CS ใหม่ ไม่ได้เป็นดาวเด่นในสนามแข่งเท่านั้น แต่ยังพร้อมดึงดูดสายตาทุกคู่บนท้องถนน เริ่มตั้งแต่สีตัวถังใหม่จาก BMW Individual ได้แก่ น้ำเงิน Riviera Blue และเขียว Frozen Isle of Man Green Metallic ที่มีให้เลือกเฉพาะในรุ่นนี้เท่านั้น หรือจะเลือกลุคที่นวลตากว่าด้วยสีเทา M Brooklyn Grey Metallic และดำ Sapphire Black Metallic พร้อมแต่งแบบตัดสีด้วยผิวหน้าคาร์บอนไฟเบอร์ในบางจุด ส่วนกระจังหน้าก็มาในรูปแบบน้ำหนักเบาและไร้กรอบ แต่งด้วยเส้นกรอบสีแดงและตราชื่อรุ่น “M4 CS” ในสไตล์ที่คล้ายคลึงกับรถแข่ง ขนาบข้างด้วยไฟหน้าที่มีไฟส่องสว่างเวลากลางวันในโทนสีเหลืองเหมือนกับรถแข่ง GT ส่วนไฟท้าย ยกเทคโนโลยี BMW Laserlight ที่เคยเปิดตัวไปในรุ่น M4 CSL มาสร้างเอกลักษณ์ด้วยเอฟเฟกต์ไฟท้ายแบบสามมิติ
ในห้องโดยสาร บีเอ็มดับเบิลยู M4 CS ใหม่ มุ่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ขับขี่ในทุกภารกิจ ด้วยพวงมาลัย M Alcantara แบบสามก้านตัดขอบล่าง ที่ไม่เพียงจับถนัดมือแต่ยังแต่งแต้มด้วยองค์ประกอบที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสนามแข่ง เช่น เครื่องหมายสีแดงแทนจุดกึ่งกลางของพวงมาลัย และแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่ทำจาก CFRP ส่วนเบาะนั่งแบบ M Carbon bucket seat หุ้มด้วยหนัง Merino สีดำตัดกับตะเข็บสีแดง จึงเข้ากับโทนสีดำ-แดงในส่วนอื่นๆ ของห้องโดยสารได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ “CS” สีแดงที่คอนโซลกลาง ป้ายอักษร “M4 CS” ที่ขอบประตูรถ เข็มขัดนิรภัยแบบ M ที่แต่งแถบสีประจำตัวของบีเอ็มดับเบิลยู M เพดานสีดำ Anthracite พร้อมแต่งพื้นผิวภายในห้องโดยสารด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ ผสมผสานเป็นบรรยากาศของความสปอร์ตอย่างเต็มตัว
หน้าจอควบคุมที่ใช้ระบบ BMW iDrive รุ่นล่าสุด พร้อมฟังก์ชันการสั่งงานจากระบบปฏิบัติการ BMW Operation System 8.5 ทำให้การใช้งานฟังก์ชันและบริการดิจิทัลต่าง ๆ ทั้งสะดวกรวดเร็ว สำหรับผู้ขับขี่ หน้าจอโค้ง BMW Curved Display จะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับสมรรถนะของรถในสไตล์เดียวกับรถยนต์ตระกูล M รุ่นอื่น ๆ และยังจัดวางหน้าจอให้หันมาทางผู้ขับขี่เล็กน้อย จึงสามารถอ่านจอได้โดยไม่ต้องละสายตาจากท้องถนนข้างหน้า เช่นเดียวกับหน้าจอ Information Display ขนาด 12.3 นิ้วบริเวณหลังพวงมาลัย และจอ Control Display ขนาด 14.9 นิ้ว โดยมีไฟ M Shift Lights ช่วยให้สัญญาณเปลี่ยนเกียร์ติดตั้งอยู่ด้านบนจอ Information Display ที่อยู่เหนือพื้นที่สำหรับการควบคุมฟังก์ชันต่าง ๆ ของตัวรถ ระดับการยึดเกาะถนน และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M xDrive ที่ปรากฏบนหน้าจอด้านล่าง
ปุ่มควบคุมที่บริเวณคอนโซลหน้าก็ได้รับออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การขับขี่สไตล์ M เช่นกัน โดยมีปุ่มสำหรับเข้าตั้งค่าเครื่องยนต์ แชสซี พวงมาลัย เบรก และระบบ M xDrive อย่างครบครัน ทั้งยังสามารถเซฟการตั้งค่าเป็นพรีเซ็ตได้ 2 ชุด เพื่อเรียกใช้ทันทีจากปุ่ม M สองปุ่มบนพวงมาลัย ส่วนระบบ M Drive Professional ก็เพิ่มฟังก์ชันเฉพาะทางสำหรับการลงสนามแข่ง เช่น M Drift Analyser ที่บันทึก วิเคราะห์ และให้คะแนนการดริฟต์เข้าโค้งในแต่ละครั้ง M Laptimer ฟังก์ชันจับเวลารอบสนามเพื่อแชร์กับเพื่อน ๆ นักขับ และ M Traction Control ที่เลือกระดับการทำงานได้ถึง 10 ระดับ
นอกจากนี้ ปุ่ม M Mode ที่คอนโซลกลาง ยังเป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่มาพร้อมกับระบบ M Drive Professional โดยผู้ขับสามารถใช้ปุ่มนี้ตั้งค่าระบบช่วยเหลือการขับขี่และเลือกข้อมูลที่จะแสดงผลที่หน้าจอ Information Display และHead-Up Display ได้ ส่วนโหมดการขับขี่ บีเอ็มดับเบิลยู M4 CS ใหม่ ไม่ได้รองรับเพียงโหมดมาตรฐานอย่าง ROAD และ SPORT เท่านั้น แต่ยังมีโหมด TRACK ติดตั้งมาให้สำหรับการขับขี่ในสนามแข่งอีกด้วย
บีเอ็มดับเบิลยู 320d M Sport ใหม่
ราคา: 2,799,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ BSI Standard)
รุ่นยอดนิยมตลอดกาล บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 กลับมาอีกครั้งในแบบสดใหม่กับรุ่น 320d M Sport ที่ยกระดับทั้งการขับขี่และรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวให้ลงตัวกับทุกการเดินทางยิ่งกว่าที่เคย
บีเอ็มดับเบิลยู 320d M Sport ใหม่ ปรับโฉมห้องโดยสารเพื่อเติมทั้งบรรยากาศความสปอร์ตและความสะดวกสบายให้เข้มข้น ครบครันกว่าเดิม ตั้งแต่พวงมาลัยหนังสไตล์ M แบบตัดขอบล่าง ชุดแต่งแผงคอนโซลหน้าแบบ Luxury ที่แต่งด้วยผิวอะลูมิเนียมด้าน ไปจนถึงปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศใหม่ที่ใช้ปรับทิศทางลมได้ทั้งช่องแอร์กลาง ช่องฝั่งคนขับและฝั่งผู้โดยสาร
บีเอ็มดับเบิลยู 320d M Sport ใหม่ ยังมาพร้อมกับหน้าจอ iDrive เวอร์ชันล่าสุดและระบบสั่งการ QuickSelect ที่ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8.5 นำเสนอฟังก์ชันมากมายบนหน้าจอหลักรูปแบบใหม่ที่นำหลักการการออกแบบหน้าจอของอุปกรณ์ดิจิทัลยุคใหม่ มาประยุกต์ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นกว่ารุ่นก่อน
ในด้านระบบสนับสนุนการขับขี่ บีเอ็มดับเบิลยู 320d M Sport ใหม่ เติมความมั่นใจในทุกเส้นทางด้วยระบบ Active Cruise Control with Stop & Go ที่ทำงานควบคู่ไปกับระบบช่วยเหลือต่างๆ มากมาย ทั้ง Dynamic Stability Control (DSC) ระบบเบรก ABS พร้อมฟังก์ชันช่วยเบรก และระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ
บีเอ็มดับเบิลยู 320d M Sport ใหม่ เลือกใช้ขุมพลังดีเซลที่ลูกค้าไทยต่างไว้วางใจ กับเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร เทคโนโลยี TwinPower Turbo ให้พละกำลัง 140 กิโลวัตต์ / 190 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่1,750-2,500 รอบต่อนาที ทำงานผสานกับระบบเกียร์ Sport Steptronic 8 จังหวะ ช่วยให้บีเอ็มดับเบิลยู 320d M Sport ใหม่ ทำเวลาจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้อยู่ที่ 7 วินาที
มินิ คันทรีแมน เอส ALL4 Hightrim
ราคา: 2,799,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ MSI Standard)
มินิ คันทรีแมน เอส ALL4 Classic
ราคา: 2,599,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และแพ็คเกจ MSI Standard)
มินิรุ่นใหญ่ขวัญใจแฟน ๆ ชาวไทยพร้อมแล้วที่จะออกผจญภัยครั้งใหม่ภายใต้แนวทางการออกแบบสไตล์ล่าสุดของมินิ แถมยังเปิดโอกาสให้เป็นเจ้าของได้ง่ายกว่าที่เคยด้วยรุ่นประกอบในประเทศ
มินิ คันทรีแมน เอส ALL4 ใหม่ มีดีไซน์สวยสะอาดตาเช่นเดียวกับคันทรีแมน รุ่นพลังงานไฟฟ้าที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ในเดือนกรกฎาคม โดยยังคงความโดดเด่นด้วยโครงสร้างตัวรถที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมินิ แต่เติมสีสันให้แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าด้วยตัวเลือกสีใหม่ น้ำเงิน Slate Blue ตัดกับหลังคาสีดำ Jet Black โดยในรุ่น Classic เลือกใช้ล้อขนาด 18 นิ้ว ดีไซน์ Asteroid Spoke และรุ่น Hightrim มาพร้อมกับล้อขนาด 19 นิ้วแบบทูโทน ดีไซน์ Kaleido Spoke
ด้านเครื่องยนต์และสมรรถนะ มินิ คันทรีแมน เอส ALL4 ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี TwinPower Turbo ที่แฟน ๆ มินิรู้จักและคุ้นเคย ส่งกำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ / 204 แรงม้า และแรงบิด 300 นิวตันเมตรลงสู่ล้อทั้งสี่ผ่านระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ALL4 ทั้งรุ่น Classic และ Hightrim มอบสมรรถนะและความคล่องตัวระดับเดียวกัน ด้วยอัตราการเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 7.4 วินาที และความเร็วสูงสุด 228 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
สำหรับชุดแต่งภายนอก ทั้งรุ่น Classic และ Hightrim ติดตั้งไฟหน้า LED พร้อมระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติมาให้ทั้งคู่ เช่นเดียวกับฝาครอบกระจกข้างสีดำ และราวหลังคาสำหรับขนสัมภาระบนหลังคารถ รุ่น Hightrim โดดเด่นกว่าด้วยบรรยากาศที่แตกต่างในห้องโดยสาร เปิดรับสภาพแวดล้อมภายนอกผ่านหลังคากระจกแบบพาโนรามา ส่วนรุ่น Classic ก็ยังสวยสะดุดตาทั่วทั้งห้องโดยสาร ด้วยพวงมาลัยแบบสปอร์ต เบาะนั่งคนขับแบบ active seat เบาะหลังปรับได้ แท่นชาร์จไร้สายสำหรับสมาร์ทโฟน และหน้าจอ OLED ทรงกลมขนาดใหญ่ที่เป็นหัวใจของการออกแบบห้องโดยสารในมินิ เจนเนอเรชันนี้ ทั้งยังเป็นประตูสู่ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกมากมายจาก MINI Connected อีกด้วย
ส่วนรุ่น Hightrim ยกระดับความหรูหราภายในไปอีกขั้น ด้วยเบาะนั่งสไตล์สปอร์ตแบบ John Cooper Works เพดานห้องโดยสารมาดขรึมในสีดำ Anthracite และระบบเสียงเซอร์ราวด์จาก Harman Kardon ส่วนวัสดุ รุ่น Classic เลือกหุ้มเบาะนั่งด้วยผ้าและหนังเทียม Vescin สีดำตัดน้ำเงิน และรุ่น Hightrim ใช้หนังเทียม Vescin ล้วนในโทนสีน้ำตาล Vintage Brown และดำ Dark Petrol
มินิ คันทรีแมน เอส ALL4 ใหม่ ทั้งสองรุ่นย่อย มอบความมั่นใจบนทุกเส้นทางด้วยตัวช่วยครบครันสำหรับการขับขี่และเข้าจอด ทั้ง Dynamic Stability Control (DSC), Dynamic Brake Control (DBC), Park Distance Control (PDC) ระบบแจ้งเตือนการชนหลังเกิดอุบัติเหตุ และอื่น ๆ อีกมากมาย
ลูกค้าที่สนใจเตรียมออกผจญภัยครั้งใหม่ไปกับ มินิ คันทรีแมน เอส ALL4 ใหม่ สามารถจับจองเป็นเจ้าของมินิคันใหม่กันได้ใน 6 สีด้วยกัน ได้แก่ น้ำเงิน Slate Blue, เขียว Smokey Green, น้ำเงิน Blazing Blue, ขาว Nanuq White, เงิน Melting Silver และแดง Chili Red II
บีเอ็มดับเบิลยู R 12 nineT สีเขียว San Remo Green Metallic
ราคา: 749,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 12 nineT สีเงิน Option 719 Aluminium
ราคา: 829,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 12 สีดำ Blackstorm Metallic
ราคา: 739,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 12 สีแดง Aventurin Red Metallic
ราคา: 769,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 12 nineT และ R 12 เป็นมอเตอร์ไซค์โรดสเตอร์และครูซเซอร์สุดคลาสสิกที่ผสมผสานหลากหลายเอกลักษณ์ในประวัติศาสตร์ของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ของเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ ดีไซน์สไตล์ย้อนยุคที่ผนึกเอาเทคโนโลยีล้ำสมัยไว้ข้างใน และการออกแบบตัวรถแบบโมดูลาร์เพื่อรองรับการแต่งรถในทุกมิติ นอกจากนี้ มอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นยังนำหัวใจที่อยู่เบื้องหลังแนวคิดการออกแบบของบีเอ็มดับเบิลยู R nineT โรดสเตอร์สไตล์คลาสสิกรุ่นดั้งเดิมที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม มาตีความใหม่ในแบบของตัวเอง โดย R 12 nineT เลือกที่จะเดินตามรอยรุ่นพี่ด้วยแนวคิด “The Spirit of nineT” ขณะที่ R 12 มุ่งสร้างประสบการณ์การเดินทางที่เรียบง่าย สบาย ๆ ด้วยแนวคิด “The Spirit of Easy”
มอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นนี้ได้รับการเผยโฉมเป็นครั้งแรกในช่วงการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี ของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด โดยทั้งสองรุ่นต่างก็สานต่อตำนานเครื่องยนต์บ็อกเซอร์สองสูบ ด้วยเครื่องขนาด 1,170 ซีซี ที่ระบายความร้อนด้วยอากาศและน้ำมัน ส่งพละกำลังได้ 80 กิโลวัตต์ / 109 แรงม้าในรุ่น R 12 nineT และ 70 กิโลวัตต์ / 95 แรงม้าในรุ่น R 12 ทั้งนี้ ทั้งสองรุ่นมีแชสซีที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยมีไฮไลท์อย่างกล่องกรองอากาศที่ติดตั้งใต้เบาะนั่ง และระบบท่อไอเสียแบบ “Twin Pipe” ที่ติดตั้งไว้ที่ด้านซ้าย พร้อมท่อเก็บเสียงคู่ในดีไซน์ทรงกรวย
บีเอ็มดับเบิลยู R 12 ทั้งสองรุ่น มีโครงตัวถังส่วนกลางที่ทำจากเหล็กกล้าซึ่งได้รับการออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด เชื่อมกับโครงส่วนท้ายรถอย่างแน่นหนา โดยที่ลดน้ำหนักจากการใช้สกรูและเสริมงานออกแบบให้สะอาดตาในสไตล์คลาสสิกมากขึ้น ส่วนด้านหน้ารถ บีเอ็มดับเบิลยู R 12 nineT มาพร้อมกับหน้าปัดทรงกลมคู่แบบอนาล็อก พอร์ต USB-C สำหรับชาร์จอุปกรณ์ และช่องเสียบไฟ 12V ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู R 12 รักษาแนวคิดของความเรียบง่ายด้วยหน้าปัดเดี่ยวสำหรับบอกความเร็ว
เมื่อมองจากด้านข้าง จะเห็นได้ว่าบีเอ็มดับเบิลยู R 12 nineT ใหม่ มีเส้นสายที่ดูยกสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการจัดวางตำแหน่งของตัวถังอลูมิเนียมที่ด้านหน้า เบาะนั่ง และท้ายรถที่ยกสูงขึ้นเล็กน้อย ส่วนถังน้ำมันที่ติดตั้งอยู่ด้านหลัง ทั้งสั้นและแคบกว่ารุ่นก่อนหน้าราว 30 มิลลิเมตร จึงทำให้ขับขี่ได้สบายตัวขึ้น เนื่องจากผู้ขับขี่จะมีตำแหน่ง
การนั่งที่ใกล้กับแฮนด์รถมากขึ้น และเข่าสัมผัสกับตัวรถมากขึ้น
ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู R 12 คงคอนเซปต์การเป็นรถครูซเซอร์สไตล์คลาสสิกด้วยแทงค์ตัวถังเหล็กกล้าที่เคยถูกขนานนามว่า “Toaster Tank” ในรถคลาสสิกอย่างบีเอ็มดับเบิลยู /5 สมัยทศวรรษ 1970 โดยเส้นสายด้านข้างของรุ่นนี้จะโน้มลงด้านหลัง ไล่จากตัวถังทรงหยดน้ำไปจนถึงเบาะนั่งและฝาครอบล้อหลัง ซึ่งเข้ากับล้อหน้าขนาด 19 นิ้วและล้อหลังขนาด 16 นิ้วได้อย่างลงตัว ขณะที่ตำแหน่งที่นั่งของผู้ขับขี่ที่ค่อนข้างต่ำ ผสานกับแฮนด์รถที่กว้างกว่า จึงเหมาะกับวันเดินทางสบาย ๆ
บีเอ็มดับเบิลยู R 12 nineT รองรับการขับขี่ในโหมดมาตรฐานมากมาย ทั้ง “Rain”, “Road” และ “Dynamic” ขณะที่R 12 มีให้เลือกสองโหมดง่าย ๆ ใน “Roll” และ “Rock” ทั้งสองรุ่นมีฟังก์ชันด้านความปลอดภัยที่ครบครัน ทั้ง Hill Start Control สำหรับการออกตัวบนทางชัน Tyre Pressure Control, Cruise Control, Gearshift Assistant Pro, Dynamic Traction Control (DTC) และระบบเบรก ABS Pro ที่ล้วนเสริมความอุ่นใจในทุกสภาวะการขับขี่ โดยเฉพาะขณะเข้าโค้งและเบรกแรง ๆ ส่วนไฟหน้า Headlight Pro และระบบ Connected Ride Control ก็ได้รับการติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเช่นกัน
บีเอ็มดับเบิลยู R 12 nineT พร้อมให้เป็นเจ้าของได้ในสีเขียว San Remo Green Metallic และสีเงิน Option 719 Aluminium ส่วน R 12 มีให้เลือกในสีดำ Blackstorm Metallic และแดง Aventurin Red Metallic
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 (รุ่นประกอบในประเทศ) สี Mars Red Metallic
ราคาจำหน่าย: 890,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 (รุ่นประกอบในประเทศ) สี Blackstorm Metallic / Vintage
ราคาจำหน่าย: 905,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ที่สื่อถึงแก่นแท้ของมอเตอร์ไซค์ในแบบดั้งเดิม การออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ต้นกำเนิดของแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด จึงมอบกลิ่นอายความคลาสสิกได้อย่างถึงอารมณ์ด้วยชิ้นส่วนแฮนด์เมดต่าง ๆ ที่ล้วนตอกย้ำถึงความเรียบง่ายที่ยังคงตอบโจทย์การใช้งานในทุกองค์ประกอบ สัดส่วนที่ลงตัวของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 ยังได้รับแรงบันดาลใจจากมอเตอร์ไซค์คลาสสิกรุ่นพี่อย่างบีเอ็มดับเบิลยู R 5 ถ่ายทอดออกมาเป็นเอกลักษณ์ความงามที่ก้าวข้ามกาลเวลาด้วยดีไซน์เปลือยสะกดสายตา
หัวใจหลักของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 คือเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบขนาดใหญ่ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ให้ทรงพลังทั้งในด้านดีไซน์และประสิทธิภาพ มาพร้อมความจุ 1,802 ซีซี ส่งพละกำลังสูงสุด 67 กิโลวัตต์ (91 แรงม้า) ที่ 4,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 158 นิวตันเมตร ที่ 3,000 รอบต่อนาที และส่งแรงบิดมากกว่า 150 นิวตันเมตรในระหว่าง 2,000 ถึง 4,000 รอบต่อนาที พร้อมสร้างเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มเร้าใจ ในขณะที่ระบบขับเคลื่อนมาในโครงสร้างเหล็กกล้าสองชั้นอันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู และยังโดดเด่นด้วยมาตรฐานการผลิตคุณภาพสูงและความประณีตในรายละเอียดต่าง ๆ เช่น การเชื่อมข้อต่อระหว่างโครงสร้างเหล็กและการขึ้นรูปชิ้นส่วนเหล็กหล่อต่าง ๆ นอกจากนี้
สวิงอาร์มหลังยังได้รับแรงบันดาลใจจากบีเอ็มดับเบิลยู R 5 ยึดต่อกับเพลาหลังด้วยข้อต่อสลักเกลียวแบบดั้งเดิม
ระบบช่วงล่างของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 ยังคงความคลาสสิกด้วยการใช้ช่วงล่างแบบเทเลสโคปิกแทนการควบคุมด้วยไฟฟ้า โดยมีคานรับน้ำหนักกลางที่สามารถปรับตั้งค่าความหนืดและการยุบตัวของสปริงได้ เพื่อการควบคุมที่เฉียบคมและนุ่มสบาย แกนโช้คหน้ามีเส้นผ่าศูนย์กลาง 49 มิลลิเมตร ระยะยุบตัวโช้คหน้า 120 มิลลิเมตร และระยะยุบตัวโช้ค
หลัง 90 มิลลิเมตร ระบบเบรกของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 มาพร้อมดิสก์เบรกคู่ที่ล้อหน้า ดิสก์เบรกเดี่ยวที่ล้อหลัง และคาลิปเปอร์เบรกแบบตายตัว 4 ลูกสูบ พร้อมล้อซี่ลวดที่เสริมลุคให้สะดุดตายิ่งขึ้น
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 ยังพิเศษด้วยโหมดการขับขี่ที่เหนือระดับกว่ารุ่นอื่น ๆ ในเซกเมนต์เดียวกัน มาพร้อม 3 โหมด ได้แก่ “Rain”, “Roll” และ “Rock” ให้เลือกปรับตามความชอบเฉพาะตัว พกพาเทคโนโลยีด้านการขับขี่ที่ครบครันมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นการเสริมความปลอดภัยด้วยฝาถังน้ำมันเชื้อเพลิงพร้อมระบบล๊อก ระบบควบคุมการทรงตัวแบบอัตโนมัติ (ASC) ระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง (MSR) จากการชะลอตัวหรือลดเกียร์ ระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน (Hill Start Control) ระบบเกียร์ถอยหลัง (Reverse Gear) ระบบสัญญาณกันขโมย ระบบป้องกันรถกระชาก (Anti-hopping Clutch) และระบบ Dynamic Brake Control หรือ DBC ที่ช่วยให้เบรคหลังทำงานได้ดียิ่งขึ้น เสริมความล้ำสมัยด้วยระบบสตาร์ทแบบไร้กุญแจ (Keyless Ride)
นอกจากนี้ มาตรวัดความเร็วแบบอนาล็อกทรงกลม พร้อมจอแสดงสถานะการขับขี่ที่ปรากฎให้เห็นเฉพาะเวลาเปิดไฟ ได้รับการออกแบบมาเพื่อเสริมลุคคลาสสิกของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 โดยเฉพาะ โดยที่ยังมอบเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมายผสานกับดีไซน์สุดคลาสสิกได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็น จอแสดงสถานะเกียร์และข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัล
ไฟหน้า Adaptive LED แบบใหม่ พร้อมระบบ Daytime Riding light และ Headlight Pro ในโคมโลหะคุณภาพสูง และไฟเลี้ยว LED ที่ออกแบบเป็นชิ้นเดียวกับไฟท้าย สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้แก่บีเอ็มดับเบิลยู R 18 และยังมาพร้อมที่นั่งและพักเท้าคนซ้อนเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Classic (รุ่นประกอบในประเทศ) สี Manhattan Metallic Matt
ราคาจำหน่าย: 990,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Classic พาเหล่าไบค์เกอร์หวนกลับสู่จุดเริ่มต้นสุดคลาสสิกของมอเตอร์ไซค์ทัวริ่งครูสเซอร์ ด้วยสไตล์ที่โดดเด่นและแตกต่างจากบีเอ็มดับเบิลยู R 18 โดยบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Classic มาพร้อมกับอุปกรณ์เพิ่มเติมอย่างกระจกบังลมขนาดใหญ่ เบาะผู้โดยสาร กระเป๋าข้าง ไฟหน้า LED เสริม และล้อหน้าขนาด 16 นิ้ว
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Classic ยังพิเศษด้วยโหมดการขับขี่ที่เหนือระดับกว่ารุ่นอื่น ๆ ในเซกเมนต์เดียวกัน มาพร้อม 3 โหมด ได้แก่ “Rain”, “Roll” และ “Rock” ให้เลือกปรับตามความชอบเฉพาะตัว ระบบเกียร์ถอยหลัง (Reverse Gear) ระบบสัญญาณกันขโมย ระบบป้องกันรถกระชาก (Anti-hopping Clutch) และระบบ Dynamic Brake Control นอกจากนี้ยังพกพาระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Electronic cruise control) มาเป็นมาตรฐานอีกด้วย
งานออกแบบของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Classic เป็นการประสานเอกลักษณ์ความคลาสสิกเข้ากับองค์ประกอบต่าง ๆ ที่สะดุดตา ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างเหล็กกล้าสองชั้น ถังน้ำมันทรงหยดน้ำ เพลาแบบเปิดเปลือย พร้อมเสริมลูกเล่นดีไซน์ด้วยการทำสีแบบลายเส้นบนตัวถังเป็นมาตรฐาน สอดแทรกกลิ่นอายความล้ำสมัยด้วยมาตรวัดความเร็วแบบอนาล็อก
ทรงกลม พร้อมจอแสดงสถานะการขับขี่ที่ปรากฎให้เห็นเฉพาะเวลาเปิดไฟ รวมทั้งไฟหน้า Adaptive LED แบบใหม่ พร้อมระบบ Daytime Riding light และ Headlight Pro มาพร้อมที่นั่งและพักเท้าคนซ้อนเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B (รุ่นประกอบในประเทศ) สี Blackstorm Metallic
ราคาจำหน่าย 1,150,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental (รุ่นประกอบในประเทศ) สี Gravity Blue Metallic
ราคาจำหน่าย 1,250,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental โดดเด่นด้วยความเป็นมอเตอร์ไซค์ทัวริ่งหรูหรา ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B มาพร้อมความเป็นมอเตอร์ไซค์สไตล์แบกเกอร์เต็มตัวด้วยรูปลักษณ์ที่ทั้งเรียบง่ายและปราดเปรียว พร้อมด้วยกระเป๋าสัมภาระข้างรถที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับฝาครอบไฟหน้ารถ และสำหรับรุ่น R 18 Transcontinental จะมีกล่องสัมภาระท้ายรถ (top case) อีกด้วย และยังมีส่วนประกอบเพื่อการใช้งานและดีไซน์ต่าง ๆ เช่น โครงสร้างเหล็กกล้าสองชั้น ถังน้ำมันทรงหยดน้ำขนาด 24 ลิตร เพลาแบบเปิดเปลือย พร้อมลูกเล่นการทำสีแบบลายเส้นคู่ล้วนสะท้อนถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมอเตอร์ไซค์แบบทัวริ่งและครูสเซอร์ยอดนิยม และด้วยระบบสวิงอาร์มคู่
ขนาบข้างและคานรับน้ำหนักแบบยื่น โครงสร้างตัวรถอันแข็งแกร่งจากมอเตอร์ไซค์ระดับตำนานอย่างบีเอ็มดับเบิลยู R 5 จึงถูกถ่ายทอดสู่ยุคปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยม
ด้านแชสซีของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B เป็นโครงสร้างเหล็กกล้าสองชั้น พร้อมแกนหลักชิ้นส่วนขึ้นรูปจากแผ่นเหล็ก ทั้งยังโดดเด่นด้วยมาตรฐานการผลิตคุณภาพสูงและความประณีตในรายละเอียดต่าง ๆ เช่น การเชื่อมข้อต่อระหว่างโครงสร้างเหล็กและการขึ้นรูปชิ้นส่วนเหล็กหล่อต่าง ๆ นอกจากนี้ สวิงอาร์มหลังยังยึดต่อกับ
เพลาหลังด้วยข้อต่อสลักเกลียวแบบดั้งเดิม
ระบบช่วงล่างของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใช้ช่วงล่างแบบเทเลสโคปิก และระบบสวิงอาร์มที่ติดตั้งโดยตรงบนคานรับน้ำหนักแบบยื่นที่สามารถปรับตั้งค่าความหนืดและการยุบตัวของสปริงได้ เพื่อให้ควบคุมล้อที่หล่อด้วยวัสดุอัลลอยน้ำหนักเบาชั้นเลิศได้อย่างแม่นยำ พร้อมมอบการขับขี่ที่นุ่มสบาย คานรับน้ำหนักด้านหลังสามารถปรับตั้งค่าความหนืดได้และมีระบบชดเชยโหลดอัตโนมัติเพื่อตอบสนองการขับขี่ที่เหนือระดับ และเช่นเดียวกับรถรุ่นตำนานอย่างบีเอ็มดับเบิลยู R 5 แกนโช้คหน้าแบบเทเลสโคปิกของ R 18 ทั้งสองรุ่นก็มาพร้อมกับปลอกหุ้มโช้ค และยังมาพร้อมกับระบบดิสก์เบรกคู่ที่ล้อหน้า และดิสก์เบรกเดี่ยวที่ล้อหลัง ทำงานร่วมกับคาลิเปอร์เบรกแบบตายตัว 4 ลูกสูบ และระบบเบรกเอบีเอสของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานอย่างครบครัน เช่น ระบบควบคุมการขับขี่แบบ Active Cruise Control (ACC) ช่วยให้สามารถขับขี่ได้อย่างสะดวกสบายด้วยระบบควบคุมระยะห่างจากคันหน้า โดยระบบตรวจจับด้วยเรดาร์ที่ติดตั้งบนฝาครอบไฟหน้ารถจะช่วยกำหนดให้มอเตอร์ไซค์เร่งความเร็วและลดความเร็ว นอกจากนี้ ระบบ ACC ยังช่วยเสริมความปลอดภัยในการเข้าโค้ง และในยามจำเป็น ระบบควบคุมการเข้าโค้งจะชะลอความเร็ว เพื่อให้ผู้ขับขี่ใช้ความเร็วที่เหมาะสมกับมุมเอียงของถนนเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่และเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ
มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental ติดตั้งเบาะที่นั่งที่นุ่มสบายพร้อมระบบอุ่นเบาะที่นั่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อความสบายในการขับขี่ทางไกลแม้มีคนนั่งซ้อนท้าย ส่วนเบาะที่นั่งในรุ่น R 18 B เป็นเบาะที่นั่งสำหรับสองคนที่มีขนาดเล็กลง บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B มาพร้อมที่พักเท้าแบบบันไดข้างเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ส่วนขับขี่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษทั้งสองรุ่น มาพร้อมกับมาตรวัดแบบอนาล็อก หน้าปัดทรงกลม 4 ช่อง และจอสีแสดงผลแบบ TFT ขนาด 10.25 นิ้ว สามารถอ่านได้ง่าย และเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน BMW Connected App เสริมความสะดวกในการใช้งานและแสดงข้อมูลการขับขี่อย่างเต็มที่
เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละราย มอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับโหมดการขับขี่มาตรฐาน 3 โหมด ได้แก่ “Rain”, “Roll” และ “Rock” นอกจากนี้ มอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับระบบป้องกันการโจรกรรมและระบบเซ็นทรัลล็อคมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B มาพร้อมกับประสบการณ์เครื่องเสียงคุณภาพ โดยพัฒนาร่วมกับผู้ผลิตเครื่องเสียงสัญชาติอังกฤษอย่าง Marshall และลำโพงแบบ two-way (แยกซับวูฟเฟอร์) ที่ติดตั้งบนหน้าปัดของฝาครอบไฟหน้ารถ พร้อมด้วยหน้ากากลำโพงสีดำที่แต่งด้วยตัวอักษร Marshall สีทอง เสริมลุคคลาสสิกให้กับมอเตอร์ไซค์ โดยบีเอ็มดับเบิลยู R 18 B มาพร้อมกับระบบเครื่องเสียง Marshall Gold Series Stage 1 ซึ่งประกอบด้วยลำโพง 2 ตัว และซับวูฟเฟอร์ 2 ตัว ในขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental ติดตั้งระบบเครื่องเสียง Marshall Gold Series Stage 2 มาพร้อมลำโพง 4 ตัว และซับวูฟเฟอร์ 2 ตัว ด้วยกำลัง 280 วัตต์